แม้จะมีกติกาและขั้นตอนการแข่งขันค่อนข้างซับซ้อน อีกทั้งออกจะยืดเยื้อ เพราะต้องแข่งในรอบคัดเลือกหลายรอบ แต่ยูโรปาลีกก็มีระบบระดับพื้นฐานเข้าใจง่าย เสริมไว้ในลำดับท้ายๆ โดยเริ่มจากรอบแพ้คัดออก (Knockout phase) หรือรอบ 32 ทีมสุดท้าย เรื่อยไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ
ใช้ระบบแข่งที่คุ้นเคยกันดี
การแข่งขันจากรอบ 32 ทีมสุดท้ายถึงรอบรองชนะเลิศ ใช้ระบบเรียบง่ายเป็นที่คุ้นเคยกันดีของแฟนบอล นั่นคือระบบเหย้า-เยือน โดยทีมที่ทำประตูรวม 2 นัดได้มากกว่า เป็นฝ่ายชนะ ได้สิทธิผ่านเข้ารอบ 16 ทีม เช่น เชลซี (อังกฤษ) ชนะ มัลเมอ เอฟเอฟ (สวีเดน) ในนัดเป็นเจ้าบ้าน 3-0 และชนะแมตช์ไปเยือนมัลเมอ 2-1 ทำให้เชลซีเป็นฝ่ายชนะด้วยสกอร์รวม 5-1 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบต่อไป
กรณีผลเสมอกันใน 90 นาที ต้องต่อเวลาพิเศษ 30 นาที แข่งครึ่งละ 15 นาที และหากผลยังเสมอกันเหมือนเดิม ต้องยิงลูกที่จุดโทษตัดสินหาทีมชนะ
สโมสรที่ผ่านเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายในฤดูกาลนี้ (2019–20) เป็นทีมชื่อดังที่แฟนบอลชาวไทยคุ้นเคยกันหลายทีม เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อังกฤษ) อาร์เซนอล (อังกฤษ) อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี) เซบีย่า (สเปน) โรมา (อิตาลี) เอฟซี ปอร์โต (โปรตุเกส) กลาสโกว์ เรนเจอร์ส (สก็อตแลนด์) กลาสโกว์ เซลติก (สก็อตแลนด์) และ ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมนี)
เริ่มแข่ง ก.พ. และชิงฯ พ.ค.
สำหรับการแข่งขันรอบ 32 ทีมสุดท้ายในปีนี้ เริ่มนัดแรกวันที่ 20 ก.พ. และนัด 2 วันที่ 27 ก.พ. ตามด้วยรอบ 16 ทีม วันที่ 12 และ 19 มี.ค. รอบก่อนรองชนะเลิศ วันที่ 9 และ 16 เม.ย. และรอบรองชนะเลิศ วันที่ 30 เม.ย. และ 7 พ.ค.
ส่วนรอบชิงชนะเลิศ กำหนดแข่งเพียงครั้งเดียว ในสนามเป็นกลาง หมายถึงไม่ใช่สนามของ 2 ทีมที่ผ่านเข้าไปพบกัน โดยฤดูกาลนี้ ทางยูฟ่าเลือกสนามชตาดิโอน อีเนร์กา กดัญสก์ ของเมืองกดัญสก์ ประเทศโปแลนด์ เป็นสังเวียนตัดสินแชมป์ประจำฤดูกาล กำหนดแข่งวันที่ 27 พ.ค.